กระบวนการทางปัญญา
กระบวนการทางปัญญา คือ
การเอาปัญญาเข้ามาแทนที่การใช้อำนาจ จึงเป็นกระบวนการธรรมะ หรือ การทำให้ถูกต้อง
มีองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่
(1) การรับรู้สิ่งเร้า (Stimulus)
(2) การจำแนกสิ่งเร้าจัดกลุ่มเป็นความคิดรวบยอด (Concept)
(3) การเชื่อมโยงความคิดรวบยอดเป็นกฎเกณฑ์ หลักการ (Rule) ด้วยวิธีอุปนัย (Inductive)
(4) การนำกฎเกณฑ์ หลักการไปประยุกต์ใช้ด้วยวิธีนิรนัย (Deductive)
(5) การสรุปเป็นองค์ความรู้ใหม่ ๆ (Generalization)
โดยศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ
วะสี ยังได้กล่าวถึงกระบวนการทางปัญญาไว้ 10 กระบวนการ ดังนี้
1.ฝึกสังเกตสังเกตในสิ่งที่เราเห็น หรือสิ่งแวดล้อม เช่น ไปดูนก ดูผีเสื้อ หรือในการทำงาน การฝึกสังเกต
จะทำให้เกิดปัญญามาก โลกทรรศน์และวิธีคิด สติและสมาธิ จะเข้าไปมีผลต่อการสังเกต
และสิ่งที่สังเกต
2.ฝึกบันทึกเมื่อสังเกตอะไรแล้วควรฝึกบันทึก โดยจะวาดรูปหรือบันทึกข้อความ ถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ ละเอียดมากน้อย
ตามวัยและตามสถานการณ์ การบันทึกเป็นการพัฒนาปัญญา
3.ฝึกการนำเสนอต่อที่ประชุมกลุ่มเมื่อมีการทำงานเป็นกลุ่ม
เราไปเรียนรู้อะไรมา บันทึกอะไรมา จะนำเสนอให้เพื่อน หรือครูรู้เรื่องได้อย่างไร
ก็ต้องฝึกการนำเสนอ การนำเสนอได้ดีจึงเป็นการพัฒนาปัญญา
ทั้งของผู้นำเสนอและของกลุ่ม
4.ฝึกการฟังถ้ารู้จักคนอื่นก็จะทำให้ฉลาดขึ้น
โบราณเรียกว่าเป็นพหูสูต บางคนไม่ได้ยินคนอื่นพูด เพราะหมกมุ่น อยู่ในความคิดของตัวเอง
หรือมีความฝังใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนเรื่องอื่นเข้าไม่ได้ ฉันทะ สติ และสมาธิ
จะช่วยให้ฟังได้ดีขึ้น
5.ฝึกปุจฉา – วิสัชนาเมื่อมีการนำเสนอและการฟังแล้วฝึกปุจฉา – วิสัชนา หรือถาม – ตอบ
ซึ่งเป็นการฝึกใช้เหตุผล วิเคราะห์ สังเคราะห์ ทำให้เกิดความแจ่มแจ้ง
ในเรื่องนั้น ๆ ถ้าเราฟังครูโดยไม่ถาม – ตอบ
ก็จะไม่แจ่มแจ้ง
6.ฝึกตั้งสมมุติฐานและตั้งคำตอบเวลาเรียนรู้อะไรไปแล้ว
เราต้องสามารถตั้งคำถามได้ว่า สิ่งนี้คืออะไร สิ่งนั้นเกิดจากอะไร
อะไรมีประโยชน์ ทำอย่างไรจะสำเร็จประโยชน์อันนั้น และมีการฝึกซ้อมการตั้งคำถาม
ถ้ากลุ่มช่วยกันคิดคำถามที่มีคุณค่า และมีความสำคัญ ก็อยากจะได้คำตอบ
7.ฝึกการค้นหาคำตอบเมื่อมีคำถามแล้วก็ควรไปค้นหาคำตอบจากหนังสือ
จากตำรา จากอินเตอร์เน็ตหรือไปคุยกับ คนเฒ่าคนแก่ แล้วแต่ธรรมชาติของคำถาม
การค้นหาคำตอบต่อคำถามที่สำคัญจะสนุก และทำให้ได้ความรู้มาก
ต่างจากการท่องหนังสือโดยไม่มีคำถาม บางคำถามเมื่อค้นหาคำตอบทุวิถีทางจนหมดแล้วก็ไม่พบ
แต่คำถามยังอยู่ และมีความสำคัญ ต้องหาคำตอบต่อไปด้วยการวิจัย
8.การวิจัยการวิจัยเพื่อหาคำตอบเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ทุกระดับ
การวิจัยจะทำให้ค้นพบความรู้ใหม่ ซึ่งจะทำให้เกิดความภาคภูมิใจ
สนุกและมีประโยชน์มาก
9.เชื่อมโยงบูรณาการ เชื่อมโยงบูรณาการให้เห็น ความเป็นทั้งหมด และเห็นตัวเอง
ธรรมชาติของสรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยง
เมื่อเรียนรู้อะไรมาอย่าให้ความรู้นั้นแยกเป็นส่วน ๆ
แต่ควรจะเชื่อมโยงเป็นบูรณาการให้เห็นความเป็นทั้งหมด ในความเป็นทั้งหมด
จะมีความงามและมีมิติอื่นผุดบังเกิดออกมาเหนือความเป็นส่วน ๆ
และในความเป็นทั้งหมดนั้นมองให้เห็นตัวเอง เกิดการรู้ตัวเอง ตามความเป็นจริงว่า
สัมพันธ์กับความเป็นทั้งหมดอย่างไร จริยธรรมอยู่ที่ตรงนี้
คือการเรียนรู้ตัวเองตามความเป็นจริง ว่าสัมพันธ์กับความเป็นทั้งหมดอย่างไร
ดังนั้น ไม่ว่าการเรียนรู้อะไร ๆ ก็มีมติทางจริยธรรมอยู่ในนั้นเสมอ
มิติทางจริยธรรม อยู่ในความเป็นทั้งหมดนั่นเอง ต่างจากการเอาจริยธรรมไปเป็น วิชา
ๆ หนึ่งแบบแยกส่วนแล้วก็ไม่ค่อยได้ผลในการบูรณาการ
ความรู้ที่เรียนรู้มาให้รู้ความเป็นทั้งหมดและเห็นตัวเองนี้
จะนำไปสู่อิสรภาพและความสุขอันล้นเหลือ เพราะหลุดพ้นจากความบีบคั้น
ของความไม่รู้ การไตร่ตรองนี้จะโยงกลับไปสู่วัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ที่ว่า
เพื่อลดตัวกู - ของกูและเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
อันจะช่วยให้กำกับการแสวงหาความรู้เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว
มิใช่เป็นไปเพื่อความกำเริบแห่งอหังการ– มมังการ
และรบกวนการอยู่ร่วมกันด้วยสันติ
10.ฝึกการเขียนเรียบเรียงทางวิชาการถึงกระบวนการเรียนรู้และความรู้ใหม่ที่ได้มา
การเรียบเรียงทางวิชาการเป็นการเรียบเรียง ให้ประณีตขึ้น
ทำให้ค้นคว้าหาหลักฐานที่มา ที่อ้างอิงของความรู้ให้ถี่ถ้วนแม่นยำขึ้น
การเรียบเรียงทางวิชาการจึงเป็นการพัฒนาตนเอง อย่างสำคัญ
และเป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ของผู้อื่นในวงกว้างออกไป
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น