วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2561

กระบวนการทางปัญญา

กระบวนการทางปัญญา



กระบวนการทางปัญญา คือ การเอาปัญญาเข้ามาแทนที่การใช้อำนาจ จึงเป็นกระบวนการธรรมะ หรือ การทำให้ถูกต้อง มีองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่
(1) การรับรู้สิ่งเร้า (Stimulus)
(2) การจำแนกสิ่งเร้าจัดกลุ่มเป็นความคิดรวบยอด (Concept)
(3) การเชื่อมโยงความคิดรวบยอดเป็นกฎเกณฑ์ หลักการ (Rule) ด้วยวิธีอุปนัย (Inductive)
(4) การนำกฎเกณฑ์ หลักการไปประยุกต์ใช้ด้วยวิธีนิรนัย (Deductive)
(5) การสรุปเป็นองค์ความรู้ใหม่ ๆ (Generalization)
ที่มา http://www.edtechno.com

โดยศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี ยังได้กล่าวถึงกระบวนการทางปัญญาไว้ 10 กระบวนการ ดังนี้

1.ฝึกสังเกตสังเกตในสิ่งที่เราเห็น หรือสิ่งแวดล้อม เช่น ไปดูนก ดูผีเสื้อ หรือในการทำงาน การฝึกสังเกต จะทำให้เกิดปัญญามาก โลกทรรศน์และวิธีคิด สติและสมาธิ จะเข้าไปมีผลต่อการสังเกต และสิ่งที่สังเกต

2.ฝึกบันทึกเมื่อสังเกตอะไรแล้วควรฝึกบันทึก โดยจะวาดรูปหรือบันทึกข้อความ ถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ ละเอียดมากน้อย ตามวัยและตามสถานการณ์ การบันทึกเป็นการพัฒนาปัญญา

3.ฝึกการนำเสนอต่อที่ประชุมกลุ่มเมื่อมีการทำงานเป็นกลุ่ม เราไปเรียนรู้อะไรมา บันทึกอะไรมา จะนำเสนอให้เพื่อน หรือครูรู้เรื่องได้อย่างไร ก็ต้องฝึกการนำเสนอ การนำเสนอได้ดีจึงเป็นการพัฒนาปัญญา ทั้งของผู้นำเสนอและของกลุ่ม

4.ฝึกการฟังถ้ารู้จักคนอื่นก็จะทำให้ฉลาดขึ้น โบราณเรียกว่าเป็นพหูสูต บางคนไม่ได้ยินคนอื่นพูด เพราะหมกมุ่น อยู่ในความคิดของตัวเอง หรือมีความฝังใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนเรื่องอื่นเข้าไม่ได้ ฉันทะ สติ และสมาธิ จะช่วยให้ฟังได้ดีขึ้น

5.ฝึกปุจฉา – วิสัชนาเมื่อมีการนำเสนอและการฟังแล้วฝึกปุจฉา – วิสัชนา หรือถาม – ตอบ ซึ่งเป็นการฝึกใช้เหตุผล วิเคราะห์ สังเคราะห์ ทำให้เกิดความแจ่มแจ้ง ในเรื่องนั้น ๆ ถ้าเราฟังครูโดยไม่ถาม – ตอบ ก็จะไม่แจ่มแจ้ง

6.ฝึกตั้งสมมุติฐานและตั้งคำตอบเวลาเรียนรู้อะไรไปแล้ว เราต้องสามารถตั้งคำถามได้ว่า สิ่งนี้คืออะไร สิ่งนั้นเกิดจากอะไร อะไรมีประโยชน์ ทำอย่างไรจะสำเร็จประโยชน์อันนั้น และมีการฝึกซ้อมการตั้งคำถาม ถ้ากลุ่มช่วยกันคิดคำถามที่มีคุณค่า และมีความสำคัญ ก็อยากจะได้คำตอบ

7.ฝึกการค้นหาคำตอบเมื่อมีคำถามแล้วก็ควรไปค้นหาคำตอบจากหนังสือ จากตำรา จากอินเตอร์เน็ตหรือไปคุยกับ คนเฒ่าคนแก่ แล้วแต่ธรรมชาติของคำถาม การค้นหาคำตอบต่อคำถามที่สำคัญจะสนุก และทำให้ได้ความรู้มาก ต่างจากการท่องหนังสือโดยไม่มีคำถาม บางคำถามเมื่อค้นหาคำตอบทุวิถีทางจนหมดแล้วก็ไม่พบ แต่คำถามยังอยู่ และมีความสำคัญ ต้องหาคำตอบต่อไปด้วยการวิจัย

8.การวิจัยการวิจัยเพื่อหาคำตอบเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ทุกระดับ การวิจัยจะทำให้ค้นพบความรู้ใหม่ ซึ่งจะทำให้เกิดความภาคภูมิใจ สนุกและมีประโยชน์มาก

9.เชื่อมโยงบูรณาการ เชื่อมโยงบูรณาการให้เห็น ความเป็นทั้งหมด และเห็นตัวเอง ธรรมชาติของสรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยง เมื่อเรียนรู้อะไรมาอย่าให้ความรู้นั้นแยกเป็นส่วน ๆ แต่ควรจะเชื่อมโยงเป็นบูรณาการให้เห็นความเป็นทั้งหมด ในความเป็นทั้งหมด จะมีความงามและมีมิติอื่นผุดบังเกิดออกมาเหนือความเป็นส่วน ๆ และในความเป็นทั้งหมดนั้นมองให้เห็นตัวเอง เกิดการรู้ตัวเอง ตามความเป็นจริงว่า สัมพันธ์กับความเป็นทั้งหมดอย่างไร จริยธรรมอยู่ที่ตรงนี้ คือการเรียนรู้ตัวเองตามความเป็นจริง ว่าสัมพันธ์กับความเป็นทั้งหมดอย่างไร ดังนั้น ไม่ว่าการเรียนรู้อะไร ๆ ก็มีมติทางจริยธรรมอยู่ในนั้นเสมอ มิติทางจริยธรรม อยู่ในความเป็นทั้งหมดนั่นเอง ต่างจากการเอาจริยธรรมไปเป็น วิชา ๆ หนึ่งแบบแยกส่วนแล้วก็ไม่ค่อยได้ผลในการบูรณาการ ความรู้ที่เรียนรู้มาให้รู้ความเป็นทั้งหมดและเห็นตัวเองนี้ จะนำไปสู่อิสรภาพและความสุขอันล้นเหลือ เพราะหลุดพ้นจากความบีบคั้น ของความไม่รู้ การไตร่ตรองนี้จะโยงกลับไปสู่วัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ที่ว่า เพื่อลดตัวกู - ของกูและเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ อันจะช่วยให้กำกับการแสวงหาความรู้เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว มิใช่เป็นไปเพื่อความกำเริบแห่งอหังการ– มมังการ และรบกวนการอยู่ร่วมกันด้วยสันติ

10.ฝึกการเขียนเรียบเรียงทางวิชาการถึงกระบวนการเรียนรู้และความรู้ใหม่ที่ได้มา การเรียบเรียงทางวิชาการเป็นการเรียบเรียง ให้ประณีตขึ้น ทำให้ค้นคว้าหาหลักฐานที่มา ที่อ้างอิงของความรู้ให้ถี่ถ้วนแม่นยำขึ้น การเรียบเรียงทางวิชาการจึงเป็นการพัฒนาตนเอง อย่างสำคัญ และเป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ของผู้อื่นในวงกว้างออกไป


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ชุดที่ 7

วิชา การออกแบบและการจัดการเรียนรู้     ประจำภาคเรียนที่ 2 / 25 60        โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร . พิจิตรา ธงพานิช                     ...